ยาแก้ปวดใช้ผิด อาจทำครรภ์เป็นพิษ
ยาแก้ปวดใช้ผิด อาจทำครรภ์เป็นพิษ
ในช่วงตั้งครรภ์ถือได้ว่าเป็นช่วงที่คุณแม่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะทำอะไร หรือรับประทานอะไรก็ต้องให้แน่ใจว่าไม่เกิดอันตราย ซึ่งการทานยาก็เช่นเดียวกัน


ภาพจาก : นิตยสาร ลูกรัก

ในช่วงตั้งครรภ์ถือได้ว่าเป็นช่วงที่คุณแม่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะทำอะไร หรือรับประทานอะไรก็ต้องให้แน่ใจว่าไม่เกิดอันตราย ซึ่งการทานยาก็เช่นเดียวกัน คุณแม่จะต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้งนะคะ วันนี้เราเลยมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการทานยาแก้อาการปวดอย่างไรไม่ให้ครรภ์เป็นพิษมาฝากกันค่ะ

ยาแก้ปวดกับแม่ตั้งครรภ์

นอกจากพาราเซตามอล (paracetamol) แล้ว ก็ยังมียาแอสไพริน ซึ่งเคยเป็นที่นิยมในสมัยก่อน แต่เพราะพัฒนาการทางการแพทย์ ทำให้รู้ว่าการใช้ยาแอสไพรินมีผลข้างเคียงเยอะการใช้จึงต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ อีกทั้งมีการพัฒนายาแก้ปวดกลุ่มใหม่ ๆ ที่ให้ผลระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารน้อยกว่าและระงับปวดได้ดีกว่าด้วย การใช้ยาแก้ปวดชนิดอื่น ๆ จึงมีมากขึ้น

แอสไพรินป้องกันครรภ์เป็นพิษ

ปัจจุบันการใช้ยาแอสไพรินในแม่ตั้งครรภ์จะใช้เฉพาะกรณีกลุ่มเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้เพื่อป้องกันอาการครรภ์เป็นพิษ โดยแพทย์จะให้แม่กินยาแอสไพรินขนาด 81 มก. วันละเม็ด เพื่อป้องกันโรค เริ่มกินตั้งแต่อายุครรภ์ 12-16 สัปดาห์ จนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์จึงหยุด ซึ่งทางการแพทย์พบว่าการใช้แอสไพรินขนาดต่ำ ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษ และการเสียชีวิตก่อนกำเนิดได้

ภาพจาก : baby.kapook.com

อันตราย..หากใช้แอสไพรินไม่ถูกต้อง

1. แม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการครรภ์เป็นพิษ และกินยาแก้ปวดแอสไพรินอยู่ก่อนแล้ว หากมีการใช้ยาเกินขนาดหรือใช้โดยไม่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ อาจทำให้เกิดอันตราย และเกิดอาการครรภ์เป็นพิษกำเริบรุนแรงขึ้นได้
2. ไม่รู้ตัวว่าครรภ์เป็นพิษ แต่มีอาการปวดศีรษะ หรือปวดจุกลิ้นปี่รุนแรง แล้วคิดว่าเป็นอาการปวดธรรมดา ก็หายาแก้ปวดมากินเอง และถ้าไปกินแอสไพรินก็อาจทำให้อาการของโรคกำเริบรุนแรงมากขึ้น จนเกิดครรภ์เป็นพิษวิกฤต และอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นแม่ตั้งครรภ์จึงต้องหมั่นสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ ว่าเกิดจากครรภ์เป็นพิษหรือไม่ด้วยค่ะ

สังเกตอาการแบบนี้ เสี่ยงครรภ์เป็นพิษ

  • ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่
  • มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (โดยตั้งครรภ์ในอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์) ซึ่งวินิจฉัยจากการวัดความดันโลหิตของแม่ตั้งครรภ์ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 4 ชม. หากพบว่าความดัน systolic สูงกว่าหรือเท่ากับ 140 มม.ปรอท หรือความดัน diastolic มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท ถือว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง
  • ตัวบวม เนื่องจากมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ
  • หากมีอาการรุนแรงขึ้นจะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษวิกฤต คือเกิดการล้มเหลวของระบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น เกล็ดเลือดต่ำ ไตทำงานแย่ลง ระดับเอนไซม์ตับสูงผิดปกติ ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นยอดอก ปอดบวมน้ำ ชักหมดสติ ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้ากว่าเกณฑ์

แม่ตั้งครรภ์จึงต้องใส่ใจตัวเองให้มาก หากมีภาวะผิดปกติเกิดขึ้นควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะเรื่องกินยาแก้ปวด ห้ามซื้อยากินเองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อาการหนักและรุนแรงได้

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร ลูกรัก



ปฏิกิริยาของคุณ?