มุมมอง
นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ภาคธุรกิจอยู่นิ่งไม่ได้ แต่ต้องปรับตัว และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการทลายข้อจำกัดเดิม ๆ ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และนวัตกรรรมใหม่ ๆ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เลกซัส ประเทศไทย (LEXUS Thailand) ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ จัดสัมมนาภายใต้หัวข้อ “BEYOND THE FUTURE ธุรกิจ-ชีวิต-การลงทุน”
โดย 1 ใน 3 วิทยากรที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์บนเวที คือ “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ในหัวข้อ “โลกการลงทุนยุคใหม่ New Economy Business”
“จิรายุส” เริ่มต้นโดยพูดถึงความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกว่า บริษัทเสิร์ชเอ็นจิ้นยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง “กูเกิล” ใช้เวลาเพียง 10 วินาที ทำเงินไปกว่า 6 แสนบาท
ขณะที่ใน 10 วินาทีเท่ากัน “แอปเปิล” สามารถทำเงินได้ถึง 1.7 ล้านบาท และบอกว่า ในทุก 10 วินาที บริษัทเหล่านี้ทำเงินได้เพิ่้มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตัดกลับมายังอีกฝั่งของโลกที่เวลา 10 วินาทีเท่ากันบนโลกใบเดียวกัน กลับทำเงินได้เฉลี่ยเพียง 6 สตางค์
“สิ่งที่เกิดนี้ เรียกว่า digital divide (ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เกิดจากโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลความรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล) ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”
โลกเปลี่ยนเร็วแบบยกกำลัง
และว่า วิกฤตโควิดส่งผลกระทบชัดเจน โดยที่ผ่านมา ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต มีการไล่พนักงานออก ตัดลดค่าใช้จ่าย เพื่อเก็บเงินสดไว้มากที่สุด โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ทำธุรกิจเก่าบนโลกเก่าในทุกอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกันก็มีอีกกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตก้าวกระโดดในทุกมิติ ทั้งรับสมัครพนักงานเพิ่มขึ้น รายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้อยู่ในช่วงวิกฤต เป็นกลุ่มที่เรียกว่า “new economy business”
ส่วนใหญ่เป็น “ดิจิทัลคัมปะนี” เป็นบริษัทใหม่ ๆ ที่นำเทคโนโลยีมาสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก แม้แต่ละในระดับพนักงานก็ยังมีกลุ่มที่เป็น “มนุษย์ทองคำ” มีบริษัทใหญ่ ๆ มาแย่งตัว
สิ่งที่เกิดขึ้นจะแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ exponential winner คือ คนที่ชนะก็จะชนะไปเรื่อย ๆ โตก้าวกระโดดแบบที่คนอื่นตามไม่ทัน กับอีกกลุ่ม คือ exponential losers
คนแพ้ที่ก็จะแพ้แบบก้าวกระโดดตามยังไงก็ไม่ทันไปเรื่อย ๆ ที่มีคำว่า exponential นำหน้าด้วย แปลว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า ผลกระทบจาก digital divide มีแต่จะหนักขึ้นแบบยกกำลัง
ฉะนั้นจึงวันนี้สำคัญมากว่า เราจะอยู่ฝั่งไหนของการเปลี่ยนแปลงของโลก
“หลายคนคงคิดว่าประเทศไทย 10-20 ปีที่ผ่านมา ไม่ไปไหนเลย หยุดอยู่กับที่ หรือแย่ลง แต่ในความจริง ต้องถอยมาก้าวนึง แล้วตั้งสติแล้วมองกลับไปว่า จริง ๆ แล้วประเทศไทยหรือชีวิตการเป็นอยู่ของเราดีขึ้นรึเปล่า 10 ปีที่แล้ว
ตอนอยู่ต่างประเทศ จำได้เวลาโทร.กลับบ้านคุยกับคุณพ่อคุณแม่ ต้องเสียค่าโทรศัพท์นาทีละ 30-60 บาท ถ้าใครจำยุคนั้นได้ ไม่เห็นหน้ากันด้วย การสื่อสารเป็นสิ่งที่ขาดแคลน แต่ 10-20 ปีให้หลังไม่ขาดแคลนแล้ว ไม่ว่าจะรวยหรือจนก็เข้าถึงได้หมด โทร.คุยเห็นหน้ากันได้ด้วย”
ทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์ดีขึ้นเรื่อย ๆ มนุษย์เราเก่งมาก ในการคิดค้นเทคโนโลยีทำให้สิ่งที่ขาดแคลน ไม่ขาดแคลนอีกต่อไป และทุกคนเข้าถึงได้ ต้นทุนถูกลงเรื่อย ๆ ทุกปี ในทุกวงการ
“เราคิดค้น TCP/IP Protocol หรือ Skype หรือ Zoom ได้ในที่สุด แสงสว่างเมื่อก่อนต้องใช้เทียนไข ล่าปลาวาฬ เอาน้ำมันมาทำเทียนไข กระทั่งเราคิดค้นไฟฟ้าได้ แสงสว่างก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ขาดแคลนอีกต่อไป
แม้แต่อาหารที่บอกว่าจะขาดแคลน ตอนนี้เราก็ปลูกเนื้อได้ เหมือนปลูกผัก หรือน้ำที่บอกว่าจะเป็นสิ่งที่ขาดแคลน ก็มีเทคโนโลยีที่สามารถดึงน้ำจากอากาศได้แล้ว ฉะนั้น standard of living หรือชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราโดยรวมดีขึ้น แต่สิ่งที่แย่ลง คือ relative poverty เกิดสิ่งที่เรียกว่า digital divide”
“จิรายุส” บอกว่า บริษัทที่สามารถที่จะเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ สามารถที่จะปรับตัว จะเป็น “ผู้ชนะ” ของโลกอนาคตที่กำลังจะเกิดในอีก 5-10 ปีข้างหน้านี้ ขณะที่บริษัทที่ยังยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ เข้าใจกฎของโลกธุรกิจเดิม ๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยนจะเป็น “ผู้แพ้”
“โลกเราขับเคลื่อนในอัตราที่เร็วมาก ๆ ถ้าเราเปลี่ยนแปลง โอกาสจะล้มเหลวน้อยกว่าไม่เปลี่ยน”
เข้าใจกฎโลกใหม่
โลกอนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะขยับเขยื้อนไปทางด้านไหน และโอกาสอยู่ที่ไหน
“จิรายุส” กล่าวว่า โลกปัจจุบันพัฒนาขึ้นแบบยกกำลัง หากย้อนกลับไปแค่ 10 ปีก่อน คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ใช้แกร็บ แอร์บีเอ็นบี บิตคอยน์ บล็อกเชน หรือแม้แต่ “ไลน์” แต่วันนี้มีคนใช้ไลน์กว่า 47 ล้านในประเทศไทย
และ 10 ปีข้างหน้าจะเร็วกว่า 10 ปีที่ผ่านมาแบบมหาศาล เพราะโลกขยับเขยื้อนแบบ exponential เป็น internet century ยุคปัจจุบันที่เราใช้ชีวิตกันอยู่ คือ ยุค internet century ทุก ๆ ปีมีแต่เร็วขึ้น แรงขึ้นเรื่อย ๆ จะมีธุรกิจโมเดลใหม่ ๆ เกิดขึ้น
และประสบความสำเร็จในอัตราที่เร็วขึ้น ยกตัวอย่างในวงการการเงิน ทุกคนคงรู้จัก AliPay หรือ WeChat เกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ 6 ปี ทำให้คนจีนไม่ใช้เงินสด ขณะที่แบงก์ที่ใหญ่สุดของโลก Goldman Sachs อายุ 140 กว่าปี
“บริษัทที่เปิดมา 140 กว่าปี กับบริษัทที่เปิดมา 6 ปี รู้ไหมครับ บริษัทไหนใหญ่กว่ากัน หรือในวงการรถยนต์ ทุกคนก็น่าจะรู้จัก Tesla ซึ่งวันนี้ใหญ่มาก ๆ มูลค่าตลาดใหญ่กว่า บริษัทรถยนต์ 10 บริษัทในโลกรวมกัน
เพราะ Tesla สร้างธุรกิจแบบ exponential เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ เข้าใจกฎใหม่ของโลก การทำธุรกิจเหมือนการเล่นเกม ก่อนที่เราจะชนะ อย่างแรกต้องเข้าใจกฎของเกมก่อน อย่างที่ 2 ต้องมีกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับกฎของเกมนั้นได้ดีที่สุด ถึงจะเป็นผู้ชนะการเล่นเกม
แล้วถ้าอยู่ดี ๆ วันหนึ่ง กฎของเกมเปลี่ยน แต่เรายังเชื่อว่ากฎไม่เปลี่ยน ยังยึดติดกับกฎเดิม ๆ ใช้ strategy เดิม ๆ เรายังเป็นผู้ชนะไหมครับ ในโลกอนาคต”
คนที่จะชนะในอนาคต คือ คนที่ unlearn กฎเก่า และ relearn กฎใหม่
“ความสำเร็จในอดีต ไม่ได้ช่วยทำให้ประสบความสำเร็จในอนาคต เพราะโลกไม่ได้พัฒนาแบบ linear ไม่ได้พัฒนาบนสิ่งเก่า มันเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำ สร้างสิ่งใหม่”
ภูเขาน้ำแข็ง Web 3.0
ซีอีโอ “บิทคับ” กล่าวด้วยว่า อีกเทรนด์หลักที่สำคัญจากนี้ไป คือ Web 3.0 หากเปรียบโครงสร้างของ Web 3.0 เป็นภูเขาน้ำแข็ง ทุกเห็นจะมองเห็นแค่ ภูเขาด้านบน คือ เทคโนโลยีด้านบน
ประกอบด้วย 1.เทคโนโลยี AR (augmented reality), VR (virtual reality) และเมตาเวิร์ส อีก 10 ปีข้างหน้า จะไม่ใช่สังคมก้มหน้า แต่เป็นสังคมใส่แว่นตา 3D
2.การกระจายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ มี internet from the sky หรืออินเทอร์เน็ตที่ลงมาจากท้องฟ้า ไม่ต้องผ่าน fiber optic
และ 3.IOT (internet of things) คอมพิวเตอร์ชิป ไม่ใช่แค่เล็กและถูกลงอย่างเดียว แต่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และอุปกรณ์ที่มี IOT จะไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟนที่ฉลาด แต่หมายถึง โต๊ะ, เก้าอี้, ตู้เย็น หรือทุกสิ่งจะฉลาดหมด ทุกอุปกรณ์จะเชื่อมโยงได้หมด
ทั้ง 3 ส่วน คือ เทคโนโลยีที่อยู่บนภูเขาน้ำแข็ง
ส่วนเทคโนโลยีที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง คือ บล็อกเชน, NFT (Non-Fungible Token), AI, คริปโตเคอร์เรนซี เป็นต้น
“ในอนาคต สิ่งที่จะยืนยันตัวใน Web 3.0 คือ อวตารและ NFT เชื่อมกัน เมตาเวิร์สกำลังจะเปลี่ยนการทำธุรกิจ และความสัมพันธ์ของมนุษย์ มีสิ่งที่เรียกว่า digital twin หมายความว่า ถ้าทำอะไรได้บนโลกจริงได้ก็สามารถทำได้บนโลกเสมือนได้เช่นกัน”
เขาเชื่อว่าภูเขาลูกที่ 3 หรือ Web 3.0 จะใหญกว่าภูเขาลูกที่ 1 และ 2 ทำให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ ในอนาคต ซึ่งสำหรับผู้บริหารองค์กร อาจไม่ต้องเก่งทุกด้านก็ได้แต่ต้องรู้ว่าโลกจะเดินไปทางไหน
มองเห็นลมมันจะพัดแรงไปทางด้านไหน และทำสิ่งที่อยู่ในทิศทางเดียวกับลม โฟกัสสิ่งนั้น อย่าไปต้านลม และว่า “โลกยิ่งเปลี่ยนเร็ว โอกาสยิ่งเยอะ” ทั้งทิ้งท้ายด้วยว่า การเติบโตจนเป็นยูนิคอร์นของ “บิทคับ” ก็ได้มาจากการ “โฟกัส”
อ่านข่าวต้นฉบับ: “Bitkub” ถอดสูตรการลงทุนยุคใหม่ เข้าใจกฎโลกใหม่เกมใหม่ยุค Web 3.0