มุมมอง
ออปโป้ ไทยแลนด์ เปิดตัวสมาร์ตโฟนซีรีส์ Reno ตัวล่าสุดประจำปี อย่าง OPPO Reno7 Series 5G ตอกย้ำจุดเด่นด้านภาพถ่ายและมาพร้อมดีไซน์ฝาหลังแบบแสงของฝนดาวตก กล้องหลัง 3 ตัวความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล และซีพียู MediaTek Dimensity ตัวใหม่ พร้อมเปิดราคาเริ่มต้นที่ 16,990 บาท
หลังจากที่ออปโป้ (OPPO) ชูจุดเด่นด้านการถ่ายภาพผ่านสมาร์ตโฟนซีรีส์ Reno มาโดยตลอด ล่าสุดวันนี้ (14 กุมภาพันธ์) ทางออปโป้ ไทยแลนด์ ได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนซีรีส์ Reno ตัวล่าสุดประจำปี อย่าง OPPO Reno7 Series 5G ซึ่งในปีนี้มาพร้อมกันถึง 2 รุ่น : OPPO Reno7 5G และ OPPO Reno7 Pro 5G โดยชูจุดเด่นด้านการเป็นสมาร์ตโฟนที่พร้อมมอบประสบการณ์การถ่ายภาพอย่างมืออาชีพ ‘The Portrait Expert’
ชูจุดเด่นด้านกล้องถ่ายวิดีโอและภาพพอร์ตเทรตระดับมืออาชีพ
โดย OPPO Reno7 Series นั้นได้มาพร้อมกับฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอและภาพพอร์ตเทรดที่ได้อัปเกรดเพิ่มเติมไปอีก ด้วยฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait Video ที่สามารถถ่ายวิดีโอแบบชัดลึก มีโบเก้ด้านหลังได้แบบ Real Time และสามารถถ่ายได้ทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน
และยังมี Bokeh Flare Portrait Mode ที่มีระดับรูรับแสงให้ปรับถึง 25 ระดับ ผ่านการตั้งค่าโฟกัส หรือ f ได้ต่ำสุดถึง 0.95 เลย ซึ่งทำให้สามารถถ่ายภาพพอร์ตเทรดแบบมีโบเก้ได้อย่างสวยงามมากยิ่งขึ้นผ่าน AI ของทาง OPPO สามารถปรับดวงไฟโบเก้ในฉากหลังได้ตามขนาด สี และความสว่างในระยะที่แตกต่างกันได้ตามที่ต้องการ ในขณะที่ยังตรวจจับและคงที่โทนสีผิวและพื้นผิวให้สมจริงได้ทั้งในโหมดพอร์ตเทรตและวิดีโอ ฟีเจอร์นี้สามารถใช้ถ่ายได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนเลย
ทางด้านฮาร์ดแวร์ของกล้องนั้นก็ไม่ธรรมดา โดย OPPO Reno7 5G มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (กล้องหลัก), 8 ล้านพิกเซล และ 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ส่วน OPPO Reno7 Pro 5G มีกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (กล้องหลัก) ซึ่ง, 8 ล้านพิกเซล และ 2 ล้านพิกเซล และมีกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล
ซึ่งกล้องหน้าของ OPPO Reno7 Pro 5G นี้ใช้เซนเซอร์ Sony IMX709 ซึ่งเคลมว่ารับแสงได้ดีขึ้น 60% และลด noise ของภาพลงกว่า 35% เมื่อเทียบกับรุ่น Reno 6 Pro ส่วนกล้องหลักของ OPPO Reno7 Pro 5G ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 ซึ่งทั้งคู่เป็นเซนเซอร์ที่ทางออปโป้พัฒนาร่วมกับ Sony นั่นเอง
ประสิทธิภาพระดับเรือธง ด้วยชิป MediaTek Dimensity ตัวใหม่
OPPO Reno7 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับการเชื่อมต่อ 5G และ Wi-Fi 6 และมาตรฐานการชาร์จ SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จได้เร็วถึง 65W ที่ทางออปโป้เคลมว่าสามารถชาร์จไฟได้เต็ม 100% ภายใน 31 นาทีเท่านั้น ในขณะที่การชาร์จ 5 นาที สามารถเล่นเกมได้นานถึง 2 ชั่วโมง รวมถึงใช้ระบบปฏิบัติการ ColorOS 12 ที่มีพื้นฐานบน Android 11
OPPO Reno7 5G นั้นมาพร้อมกับชิปตัวกลางระดับเทพอย่าง MediaTek Dimensity 900 5G ซึ่งเป็นชิปที่พร้อมสำหรับการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว และประสิทธิภาพที่พร้อมใช้งาน พร้อมแรม (RAM) 8GB และหน่วยความจำ (ROM) 256GB และมาพร้อมฟีเจอร์ Ram Expansion ที่ใช้พื้นที่ความจำในเครื่องมาเป็นแรมให้กับสมาร์ตโฟนได้สูงสุดถึง 5GB มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4500 mAh
ส่วน OPPO Reno7 Pro 5G มาพร้อมชิปเซตระดับเรือธง ด้วย MediaTek Dimensity 1200-Max 5G ตัวใหม่ล่าสุด มี RAM 12GB และ ROM 256GB และมีเทคโนโลยี Ram Expansion เพิ่มแรมให้กับสมาร์ตโฟนได้ถึง 7GB อีกด้วย มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4500 mAh เช่นเดียวกัน
ดีไซน์ใหม่แบบฝนดาวตก คู่จอ AMOLED 90Hz
OPPO Reno 7 Series 5G ทั้งสองรุ่นนั้นมีดีไซน์ Ultra Slim Body ซึ่งบางพอให้จับถือได้อย่างสบายมือ OPPO Reno7 5G มาพร้อมจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว อัตรารีเฟรชเรต 90Hz น้ำหนัก 173 กรัมและหนา 7.81 มิลลิเมตร ส่วน OPPO Reno7 Pro 5G มาพร้อมจอ AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว อัตรารีเฟรชเรต 90Hz น้ำหนัก 180 กรัมและหนา 7.45 มิลลิเมตร ซึ่งทั้งสองรุ่นมีดีไซน์จอแบบเต็มขอบ โดยมีกล้องถ่ายรูปอยู่ที่ด้านบนซ้ายของตัวเครื่อง ทำให้มีภาพที่ใหญ่เต็มตา
OPPO Reno ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับดีไซน์เทคนิค OPPO Glow (จากเดิมที่เป็น Reno Glow) ซึ่งได้ใช้เทคโนโลยี Laser Direct Imaging (LDI) แกะสลักฝาหลังให้เป็นลายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแสงของฝนดาวตก และมีเอฟเฟกต์ระยิบระยับสวยงามเหมือนสะเก็ดดาวตก มีเอฟเฟกต์แสงสะท้อนที่ทำให้ตัวเครื่องเปลี่ยนสีไปมาได้ตามมุมมองต่าง ๆ
OPPO Reno7 ทั้งสองรุ่นมาในสีฟ้า Startrails Blue ซึ่งชูจุดเด่นด้านดีไซน์ดาวตกที่กล่าวไว้ข้างต้นได้อย่างชัดเจน ส่วน OPPO Reno7 5G มาในสีดำ Starry Black ให้สีกราเดียนท์ไล่ระดับสีน้ำเงิน-ดำ และยังคงมีความระยิบระยับเป็นประกาย ส่วน และ OPPO Reno7 Pro 5G สีดำนั้นเป็นสี Starlight Black ซึ่งเป็นสีดำที่ทางออปโป้กล่าวว่า “ตระการตาไปด้วยคริสตัลนับล้านในจักรวาล” และมีเทคโนโลยี Orbit Breathing Light ซึ่งเป็นแสงรูปแบบวงกลม 3 มิติ ล้อมรอบกล้องหลัง และจะเปล่งแสงออกมาเมื่อมีสายเรียกเข้า แจ้งเตือน หรือระหว่างชาร์จอีกด้วย
ราคา ค่าตัวของ OPPO Reno7 Series 5G
ค่าตัวของ Oppo Reno7 Series 5G นั้นมีตามนี้เลยครับ
- OPPO Reno7 5G ราคา 16,990 บาท เมื่อจองวันนี้จะได้รับของสมนาคุณเป็นหูฟัง OPPO Enco Buds และ E-VIP Card ประกันจอแตก 1 ปี มูลค่า 6,999 บาท
- OPPO Reno7 Pro 5G ราคา 22,990 บาท เมื่อจองวันนี้จะได้รับของสมนาคุณเป็นหูฟัง OPPO Enco Air 2 และ E-VIP Card ประกันจอแตก 1 ปี มูลค่า 10,499 บาท
- เมื่อจองผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย ราคาเริ่มต้นเพียง 6,990 บาท เท่านั้น
ผู้ที่สนใจสามารถจองได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 18 กุมภาพันธ์
ตัวเครื่องจริง และตัวอย่างภาพถ่ายในงานเปิดตัว
และในวันเดียวกันนี้ ทางออปโป้ ไทยแลนด์ได้เปิดให้ทางสื่อมวลชนได้เข้าไปลองทดสอบใช้สมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่นที่เปิดตัวในวันนี้ ภายในงานด้วย ดังนั้นทางแบไต๋จึงได้นำเอาภาพตัวเครื่องจริง และตัวอย่างภาพถ่ายจากเครื่องในงานมาให้ทุกคนได้ลองชมกัน
3 ภาพนี้เป็นตัวเครื่องจริงของ OPPO Reno7 Pro สีดำ Starlight Black ที่มีการเหลื่อมของสีเมื่อขยับตัวเครื่อง ส่วนภาพขวามือเป็นภาพหน้าจอของเครื่อง โดยมีกล้องแบบ Hole-Punch อยู่ด้านบนซ้ายมือ และเครื่องสีดำของ OPPO Reno7 5G และ OPPO Reno7 Pro 5G นั้นมีสีที่ไม่เหมือนกัน
สำหรับสีฟ้า Startrails Blue นั้น ทั้ง OPPO Reno7 5G และ OPPO Reno7 Pro 5G มีสีที่เหมือนกัน
ไม่ใช่แค่สีอย่างเดียวที่แตกต่างกัน แต่ว่าการออกแบบตัวเครื่องก็แตกต่างกันด้วย โดย OPPO Reno7 5G จะมีขอบของเครื่องที่เป็นทรงมน รวมถึงมีพอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ในขณะที่ OPPO Reno7 Pro 5G จะมีขอบเครื่องที่แบนราบกว่า และใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม แต่จะมีเพียงแค่พอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C เท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่ายของ OPPO Reno7 5G
ภาพถ่ายกล้องหน้า
ภาพถ่ายกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายของ OPPO Reno7 Pro 5G
ภาพถ่ายกล้องหน้า