ซีอีโอ Spotify ยอมรับ ไม่เห็นด้วยกับ Joe Rogan แต่ถอดออกไม่ได้ เพราะเป็นธุรกิจ
ซีอีโอ Spotify ยอมรับ ไม่เห็นด้วยกับ Joe Rogan แต่ถอดออกไม่ได้ เพราะเป็นธุรกิจ
ประเด็นเรื่อง Spotify กับรายการพ็อดแคสต์ของ Joe Rogan ยังไม่จบ แม้ Spotify ออกมาประกาศแนวทางกำกับดูแลเนื้อหา และ Joe Rogan ออกมาขอโทษ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงกันว่า Spotify ควรต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบนแพลตฟอร์มหรือไม่ ซึ่งซีอีโอ Daniel Ek มองว่าไม่ควรต้องรับผิดชอบเพราะบริษัทเป็นแค่ตัวกลางในการเผยแพร่เนื้อหา ไม่ใช่ผู้ผลิตเนื้อหาเอง (แต่เหมือนจะลืมไปว่าจ้าง Joe Rogan ด้วยสัญญา 100 ล้านดอลลาร์) ล่าสุด The Verge ได้คลิปเสียงจากงานภายในของ Spotify เองที่ซีอีโอ Daniel Ek พูดคุยกับพนักงานในเรื่องนี้ ทำให้เราได้เห็นมุมมองจริงๆ ของผู้บริหารต่อ Joe...


ประเด็นเรื่อง Spotify กับรายการพ็อดแคสต์ของ Joe Rogan ยังไม่จบ แม้ Spotify ออกมาประกาศแนวทางกำกับดูแลเนื้อหา และ Joe Rogan ออกมาขอโทษ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงกันว่า Spotify ควรต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบนแพลตฟอร์มหรือไม่ ซึ่งซีอีโอ Daniel Ek มองว่าไม่ควรต้องรับผิดชอบเพราะบริษัทเป็นแค่ตัวกลางในการเผยแพร่เนื้อหา ไม่ใช่ผู้ผลิตเนื้อหาเอง (แต่เหมือนจะลืมไปว่าจ้าง Joe Rogan ด้วยสัญญา 100 ล้านดอลลาร์)

ล่าสุด The Verge ได้คลิปเสียงจากงานภายในของ Spotify เองที่ซีอีโอ Daniel Ek พูดคุยกับพนักงานในเรื่องนี้ ทำให้เราได้เห็นมุมมองจริงๆ ของผู้บริหารต่อ Joe Rogan

Ek ยอมรับต่อพนักงานว่ารายการของ Rogan มีความสำคัญต่อธุรกิจของบริษัทมาก เพราะบริษัทตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจพ็อดแคสต์เพื่อสร้างความแตกต่างจากบริการเพลงสตรีมมิ่งรายอื่น วิธีเดียวที่ Spotify แตกต่างได้คือหาเนื้อหาแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งการเซ็นสัญญากับ Joe Rogan ในฐานะคนทำพ็อดแคสต์อันดับหนึ่ง ก็ช่วยให้บริษัทมีที่ยืนในทุกวันนี้ เป็นแอพพ็อดแคสต์อันดับหนึ่งในตลาดสหรัฐ

ส่วนประเด็นความรับผิดชอบต่อเนื้อหา Ek ยังย้ำว่า Spotify เป็นแพลตฟอร์มให้ครีเอเตอร์เข้ามาเผยแพร่เนื้อหา บริษัทจึงไม่มีสถานะเป็นผู้เผยแพร่ (publisher) รายการของ Rogan และไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ Rogan หรือแขกในรายการมาพูด แต่เขาก็ยอมรับว่าการที่ Spotify เซ็นสัญญากับ Rogan ทำให้คนรู้สึกว่าบริษัทต้องสนับสนุนทุกสิ่งที่ Rogan พูด

อย่างไรก็ตาม Ek ก็บอกว่า Spotify ยังมีสถานะเป็น publisher กับรายการอื่นๆ ของบริษัทเอง (เช่น รายการพ็อดแคส์ของ Gimlet ที่ซื้อกิจการมาในปี 2019) การมีสถานะเป็น publisher มีอำนาจสั่งแก้ไขเนื้อหา ปฏิเสธไม่เอาแขกรับเชิญบางคน และถอดรายการตอนนั้นออกเลยได้ ความสัมพันธ์ตรงนี้ต่างไปจากรายการของ Rogan ที่บริษัทซื้อไลเซนส์มาอย่างเดียว ไม่มีอำนาจควบคุมใดๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Rogan จะเชิญใครมาออกรายการ

Ek บอกว่ามีหลายสิ่งที่ตัวเขาไม่เห็นด้วยกับ Rogan อย่างมาก และรู้สึกว่าก้าวร้าวหรือไม่เหมาะสมมาก (very offensive) และมีรายการของ Rogan บางตอนที่สุดท้าย Spotify ต้องถอดออกจากแพลตฟอร์มเพราะผิดกฎ มุมมองของเขาคือ แนวทางแก้ปัญหาระยะยาวไม่ใช่การแบน Rogan แต่เป็นการเซ็นสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟให้มากขึ้น เพื่อให้มีนักจัดพ็อดแคสต์ที่มีมุมมองหลากหลายมากขึ้นต่างหาก

ที่มา - The Verge



ปฏิกิริยาของคุณ?