ดีหมี สรรพคุณและประโยชน์
ดีหมี สรรพคุณและประโยชน์
ต้นดีหมี จัดเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ใบออกดกหนา มีความสูงของต้นประมาณ 10-20 เมตร เปลือกต้นเกลี้ยงและเป็นสีเทาดำ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ชอบอากาศค่อนข้างชื้นและมีแสงแดดส่องรำไร สามารถพบได้ในป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดงดิบริมน้ำ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400-800 เมตร


ดีหมี สรรพคุณและประโยชน์

ดีหมี ชื่อวิทยาศาสตร์ Acalypha spiciflora Burm.f. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cleidion spiciflorum (Burm.f.) Merr.) ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าเป็นชนิด Cleidion javanicum Blume โดยจัดอยู่ในวงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE)

สมุนไพรดีหมี มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดินหมี (ลำปาง), คัดไล (ระนอง), กาดาวกระจาย (ประจวบคีรีขันธ์), กาไล กำไล (สุราษฎร์ธานี), มะดีหมี จ๊ามะไฟ (ภาคเหนือ), เซยกะชู้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮองสอน), โต๊ะกาไล เป็นต้น

ลักษณะของต้นดีหมี

ต้นดีหมี จัดเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ใบออกดกหนา มีความสูงของต้นประมาณ 10-20 เมตร เปลือกต้นเกลี้ยงและเป็นสีเทาดำ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ชอบอากาศค่อนข้างชื้นและมีแสงแดดส่องรำไร สามารถพบได้ในป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดงดิบริมน้ำ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400-800 เมตร ในประเทศไทยพบได้มากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้

ใบดีหมี ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปวงรี รูปวงรีแกมใบหอก หรือเป็นรูปใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเป็นหยักฟันเลื่อมแกมซี่ฟัน ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3.5-8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-22 เซนติเมตร แผ่นใบหนาเรียบเป็นมันและเป็นสีเขียวเข้ม หลังใบเป็นสีอ่อน ที่ซอกของเส้นใบด้านท้องใบจะมีต่อมกระจัดกระจาย ก้านใบยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร

ดอกดีหมี ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน โดยจะออกดอกตามซอกใบ ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อกระจะเชิงลด ช่อดอกยาวประมาณ 8-21 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ส่วนดอกเพศเมียออกดอกเป็นดอกเดี่ยว ๆ ไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเลี้ยงดอก 5 กลีบ ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 2-3 แฉก

ผลดีหมี ผลมีลักษณะค่อนข้างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3.5 เซนติเมตร ลักษณะของผลเป็นพู 2 พู ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 2-3 เมล็ด เมล็ดเป็นสีขาว มีลักษณะกลม ผลเมื่อแก่จะแห้งและแตกได้

ภาพจาก : pantip.com

สรรพคุณและประโยชน์ของดีหมี

  1. เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษามะเร็ง (เปลือกต้น)
  2. ตำรายาไทยใช้แก่นต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ (แก่น) หรือจะใช้ทั้ง 5 ส่วน (ราก, ต้น, ใบ, ดอก, ผล) นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ตัวร้อน ช่วยดับพิษไข้ก็ได้ (ทั้งต้น)[2] ส่วนชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงจะใช้ราก ต้น หรือใบ นำมาต้มกับน้ำดื่มและอาบเป็นยาแก้ไข้ รักษาไข้มาลาเรีย (ต้น, ราก, ใบ)
  3. แก่นนำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (แก่น)
  4. แก่นนำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยขับเหงื่อ (แก่น) หรือจะใช้ทั้งห้าส่วนนำมาต้มกับน้ำดื่มก็สามารถช่วยขับเหงื่อได้เช่นกัน (ทั้งต้น)
  5. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (แก่น) หรือจะใช้ทั้งห้าส่วนนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้เช่นกัน (ทั้งต้น)
  6. เปลือกต้นนำไปต้มกับน้ำเป็นยาแก้อาการปวดท้อง (เปลือกต้น)
  7. เมล็ดใช้รับประทานเป็นยาระบาย (เมล็ด)
  8. เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ตับพิการ (เปลือกต้น) บ้างว่าใช้ส่วนของเปลือกต้น ลำต้น กิ่ง และใบ ใช้แก้ตับอักเสบ ตับพิการ ใบไม้ตับ (ต้น, เปลือกต้น, กิ่ง, ใบ)
  9. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง (เปลือกต้นต้มน้ำดื่ม)
  10. ใบใช้ต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคัน (ใบ)
  11. รากใช้ต้มกับน้ำดื่มแก้ลมพิษในกระดูก (ราก)
  12. ใบสด ๆ นำไปลวกกินเป็นเมี่ยงได้

ขอบคุณที่มา : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี , thaihealth (สสส.) , หมอชาวบ้าน
ภาพจาก : nanthapo



ปฏิกิริยาของคุณ?