หน้าแก่เป็นปัญหาผิวที่ไม่มีใครอยากเป็น อย่างที่ทราบกันดีว่าผิวหนังก็เหมือนกับอวัยวะอื่นภายในร่างกายที่เสื่อมถอยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อผิวเสื่อมสภาพไปก็มักจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ยาก โดยอาจทำให้ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยที่ดูแก่ก่อนวัยบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด หน้าแก่จึงเป็นปัญหาผิวที่ส่งผลต่อความมั่นใจและทำให้หลายคนเป็นกังวล
ความแก่ของผิวหนังที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอกร่วมกัน โดยปัจจัยภายในมาจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวและเนื้อเยื่อที่เป็นไปตามวัย ส่วนปัจจัยภายนอกมาจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการได้รับรังสียูวีจากแสงแดดที่ทำให้ผิวแห้ง บางลง มีริ้วรอยจนทำให้หน้าแก่ได้
หน้าแก่ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
โดยทั่วไป ผิวหนังของคนเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ยิ่งมีอายุมากขึ้น ผิวหนังมักจะบางลง หยาบกร้าน และหย่อนคล้อยได้ง่าย ยิ่งเมื่อเจอกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมก็อาจเพิ่มความเสี่ยงและความรุนแรงของปัญหาผิวได้ ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยอาจส่งผลกระทบต่อผิว ดังนี้
ปัจจัยภายใน (Intrinsic Aging)
เมื่อเรายังอายุน้อย ใต้ผิวหนังจะมีไขมันสะสมอยู่บริเวณต่าง ๆ ทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก แก้ม รอบดวงตา และรอบปาก แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นไขมันเหล่านี้จะเริ่มสลายไป ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและดูหย่อนคล้อย ซึ่งเป็นกระบวนการปกติตามกาลเวลาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
นอกจากนี้ ผิวยังสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้ผิวแห้งกร้าน ไม่เรียบเนียนเหมือนผิวของคนวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จะลดลง เนื่องจากหมดประจำเดือน ทำให้ผิวอาจแห้งมากขึ้นและเกิดริ้วรอยตามมา
ปัจจัยภายนอก (Extrinsic Aging)
พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมรอบตัวอาจส่งผลกระทบต่อผิวโดยตรง จึงอาจทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย และเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา โดยปัจจัยภายนอกที่อาจกระตุ้นให้เกิดความแก่ของผิว ได้แก่
- การได้รับรังสียูวีจากแสงแดด รังสียูวีเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวแห้ง ผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้า กระ หรือริ้วรอยได้ง่าย โดยรังสียูวีจะทำลายอีลาสติน (Elastin) ในผิว ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและขาดความกระชับ นอกจากนี้ รังสียูวียังทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดรอยช้ำหรือรอยแห้งแตกง่ายที่หายได้ยาก
- การได้รับมลพิษหรือสารเคมีต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันสามารถไปกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยและจุดด่างดำได้
- การสูบบุหรี่ เพราะสารเคมีในบุหรี่จะกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย และอาจทำให้การไหลเวียนโลหิตผิดปกติ ทำให้ผิวหยาบกร้าน เหี่ยวย่นและมีริ้วรอย
- ท่าทางการนอนหลับบางท่า เช่น การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำอาจทำให้ผิวหน้าเสียดสีหรือกดทับกับหมอนจนเกิดริ้วรอยขึ้น ส่วนมากมักเกิดบริเวณหน้าผาก หางตา และแก้ม โดยริ้วรอยเหล่านี้จะเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อผิวขาดความกระชับและยืดหยุ่น
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก อาจทำให้ผิวแห้ง หย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอย
- การรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่มีการขัดสี (Refined Carbohydrate) สูงอาจทำลายผิวและทำให้แก่ก่อนวัยได้
หน้าแก่ แก้ไขได้อย่างไร ?
ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย และความหยาบกร้าน เป็นสัญญาณว่าใบหน้าของคุณเริ่มแก่ลงแล้ว การดูแลผิวด้วยวิธีต่อไปนี้อาจช่วยรักษาสภาพผิวให้ดูสุขภาพดี ดูสมวัย และไม่แก่ก่อนวัยได้
- ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยสวมเสื้อผ้าแขนยาวหรือขายาว และสวมหมวกเมื่อออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง นอกจากนี้ ควรทาครีมกันแดดทุกวันบนผิวหนังบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด โดยเลือกชนิดที่มีคุณสมบัติกันน้ำและมีค่า SPF 30 ขึ้นไป
- ทาครีมบำรุงเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เพราะหากปล่อยให้ผิวแห้งอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น จึงควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนประกอบของน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้น ลดความรู้สึกเหนอะหนะผิว และมีส่วนผสมที่ช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวหนังอย่างกลีเซอรีน (Glycerin)
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มีส่วนผสมของ AHA เรตินอยด์ (Retinoid) และวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ลดริ้วรอย และฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด
- หลีกเลี่ยงสูบบุหรี่ จำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ และผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น ฟังเพลงสบาย ๆ นั่งสมาธิ หรือเล่นโยคะ เป็นต้น
หากการดูแลตัวเองยังไม่ช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน อีกวิธีคืออาจลองปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการรักษาที่ช่วยยกกระชับและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
- การฉีดฟิลเลอร์ (Injectable Fillers) เป็นสารที่ฉีดเพื่อเติมเต็มผิวหนังในส่วนที่มีริ้วรอยให้ดูเต็มขึ้น อย่างบริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม คาง โดยมักนิยมใช้กรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าสู่ผิวหนัง
- การฉีดโบทอกซ์ (Botox Injection) หรือสารโบทูลินั่ม ทอกซิน (Botulinum Toxin) เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังคลายตัว ทำให้รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าค่อย ๆ หายไป
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) เป็นการใช้กรดในการกำจัดเซลล์ผิวชั้นนอกตามปัญหาผิวของแต่ละคน จึงสามารถรักษารอยสิว กระ และริ้วรอยได้ โดยกรดที่นำมาใช้มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เป็นต้น
- การกรอผิวด้วยการพ่นผลึกแร่ (Microdermabrasion) เป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ทั้งรอยสิว จุดด่างดำ และริ้วรอย ซึ่งอาจต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงจะเริ่มเห็นผล
- การเลเซอร์ผิวหนัง ความร้อนจากแสงเลเซอร์นั้นมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอย ปรับผิวให้เรียบเนียน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง จึงเป็นวิธีที่นิยมนำมาใช้ฟื้นฟูสภาพผิวให้กระชับและเต่งตึงขึ้น
- การร้อยไหม เป็นหนึ่งในวิธียกกระชับผิวและแก้ไขปัญหาริ้วรอยบริเวณร่องแก้ม โดยใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณร่องแก้มกระชับขึ้น
อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีการเหล่านี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาได้ เช่น ผิวแดง แสบ แห้งลอก จึงควรปรึกษาแพทย์พร้อมทั้งศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลลัพธ์ของการรักษาอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเลือกการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ
ความแก่ของผิวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะผิวหนังมักเสื่อมไปตามกาลเวลาเมื่ออายุมากขึ้น แต่คุณสามารถชะลอความแก่ให้ช้าลงได้ด้วยการดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด ควบคู่ไปกับการปกป้องผิวจากแสงแดดและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เพียงเท่านี้ก็อาจช่วยชะลอปัญหาหน้าแก่และทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งภายในและภายนอก
ที่มา pobpad ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต