ปอทะเล ชื่อสามัญ Coast cotton tree, Yellow mallow tree
ปอทะเล ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus tilliaceus L. จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย MALVOIDEAE
สมุนไพรปอทะเล มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ขมิ้นนางมัทรี ผีหยิก (เลย), บา (จันทบุรี), โพธิ์ทะเล (นนทบุรี), โพทะเล (กรุงเทพฯ), ปอฝ้าย (ภาคกลาง), ปอนา ปอนาน ปอมุก ปอฝ้าย (ภาคใต้), ปอโฮ่งบารู (มลายู-นราธิวาส) เป็นต้น
ลักษณะของปอทะเล
ต้นปอทะเล จัดเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 3-5 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มแผ่กว้าง แตกกิ่งต่ำ ลำต้นมักคดงอและแตกกิ่งก้านมาก เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมสีน้ำตาล เปลือกต้นด้านนอกเรียบเกลี้ยงหรือแตกเป็นร่องตื้น ๆ มีช่องระบายอากาศเป็นแนวตามยาวของลำต้น ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีชมพูประขาว มีความเหนียว สามารถลอกออกจากลำต้นได้ง่าย โดยพันธุ์ไม้ชนิดนี้จะมีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย ส่วนในประเทศสามารถพบได้ทุกภาค โดยมักพบขึ้นตามชายฝั่งทะเล ป่าชายเลน ตามแม่น้ำลำคลองภายใต้อิทธิพลของน้ำกร่อย หรือตามป่าดิบชื้นใกล้ชายฝั่ง ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา ไปจนถึงระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400 เมตร
ใบปอทะเล ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ แผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ โคนใบกว้าง ใบมีขนาดกว้างประมาณ 7-15 เซนติเมตรและยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลมเป็นหางยาว โคนใบเว้า ส่วนขอบใบเรียบ บ้างว่าหยักแบบถี่ ๆ เนื้อใบมีลักษณะค่อนข้างหนา ผิวใบด้านบนมีขนบาง ๆ ถึงเกลี้ยง ส่วนท้องใบเกลี้ยงหรือมีขนละเอียดรูปดาวสีขาว มีเส้นแขนงใบออกจากโคนใบประมาณ 7-9 เส้น และที่เส้นกลางใบอีก 4-6 เส้น ก้านใบเป็นสีแดงยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร และมีหูใบขนาดใหญ่ที่โคนก้านใบ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร และร่วงได้ง่าย
ดอกปอทะเล ออกเป็นช่อกระจุกสั้นหรือเป็นช่อแขนง โดยจะออกตามซอกใบหรือตามปลายกิ่ง อาจมีหนึ่งดอกหรือหลายดอก ช่อดอกยาวประมาณ 8-12 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกยาวประมาณ 1 เซนติเมตร มีใบประดับคล้ายหูใบ 1 คู่ จะติดอยู่ที่โคนก้านดอก มีริ้วประดับประมาณ 7-10 กลีบ เชื่อมติดกันประมาณกึ่งหนึ่งของความยาว ส่วนปลายแยกเป็นแฉก มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ อยู่ติดทนทาน กลีบเลี้ยงเป็นสีน้ำตาล ลักษณะเป็นรูปใบหอก ปลายกลีบแหลมและมีขนทั้งสอง ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กว้างหรือไข่กลับ กลีบดอกบางเป็นสีเหลืองเรียงซ้อนเกยทับกัน บริเวณโคนกลีบด้านด้านในเป็นสีม่วงหรือสีแดงเข้ม มีเกสรเป็นแกนยื่นออกมา เมื่อดอกเริ่มบานจะเป็นสีเหลือง และเมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-10 เซนติเมตร พอดอกโรยแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือแดง และสามารถออกดอกได้เกือบตลอดทั้งปี หรือออกในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม
ผลปอทะเล ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นรูปไข่เกือบกลม มีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร เปลือกผลแข็งและมีขนสั้นละเอียดคล้ายขนกำมะหยี่ ผลเมื่อแก่จะแตกเป็น 5 พู อ้าออกและติดอยู่กับต้น ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กสีดำอยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไต เกลี้ยง สามารถออกผลได้เกือบตลอดทั้งปี
ภาพจาก : km.dmcr.go.th
สรรพคุณและประโยชน์ของปอทะล
- ใบสดนำมาคั้นเอาแต่น้ำใช้เป็นยาหยอดหู แก้หูอักเสบและหูเป็นฝี (ใบ)
- ใช้ดอกนำมาต้มกับน้ำนม ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาหยอดหูเพื่อรักษาอาการเจ็บในหู (ดอก)
- รากใช้เป็นยาแก้ไข้ รักษาอาการไข้ (ราก)
- ใบอ่อนนำมาตากแห้งใช้ชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ แก้หลอดลมอักเสบ (ใบอ่อน)
- เปลือกมีสรรพคุณทำให้อาเจียน (เปลือก)
- เมือกที่ได้จากการนำเปลือกสดมาแช่กับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร (เปลือก)
- รากมีสรรพคุณเป็นยาระบายท้อง (ราก) ส่วนใบใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ (ใบ)
- รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ (ราก)
- ชาวโอรังอัสลีในรัฐเประก์ ที่ประเทศมาเลเซียจะใช้เปลือกปอทะเลทำเป็นยาผงเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ใบนำมาบดให้เป็นผงใช้เป็นยาใส่แผลสด แผลเรื้อรัง (ใบ)
- ใบอ่อนใช้รับประทานเป็นผักได้
- ใบใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น วัว ควาย
- ใยจากเปลือกต้นจะมีความเหนียวและคงทนกว่าปอ สามารถนำมาใช้ทำเชือก ทำกระดาษห่อของ เส้นใยสั้น เมื่อทำแล้วจะได้กระดาษที่มีคุณภาพต่ำ และยังใช้ทำหมันยาเรือได้ด้วย
- เนื้อไม้ของต้นปอทะเลมีความถ่วงเพาะ 0.6 สามารถนำไปใช้ในงานไม้ได้ เช่น การทำเรือ (ชาวพื้นเมืองในฮาวายจะใช้เนื้อไม้มาทำเรือแคนู)
- ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป ในแถบเอเชียจะนิยมนำต้นปอทะเลมาทำบอนไซ
ขอบคุณที่มา : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี , thaihealth (สสส.) , หมอชาวบ้าน
ภาพจาก : dnp.go.th