SHARGE ได้โชว์โรดแมป Scale Up EV Future ตอบโจทย์เป้ารถ EV ทุกประเภท 1.05 ล้านคันในปี 2025 เดินหน้าเพิ่มจำนวนพันธมิตร EV Charging Ecosystem สู่ 50 รายในปี 2025 เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในไทย เพิ่มโอกาสเจาะตลาดสถานีชาร์จและหัวชาร์จ EV ทั้งในที่อยู่อาศัย ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล สถานศึกษา จุดพักรถ สถานีพลังงาน บริษัทด้านโลจิสติกส์ หวังให้สถานีชาร์จเพิ่มขึ้นแตะ 600 แห่ง 2,400 หัวชาร์จภายในปี 2022
โดยบริษัทชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SHARGE เป็นผู้ให้บริการ EV Charging Solution แบบครบวงจรทั้งด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รองรับ Lifestyle Charging Ecosystem เติบโตมาจากการเป็นสตาร์ตอัป มีบริษัทขนาดใหญ่จากหลากหลายเซ็กเตอร์เข้าร่วมลงทุนเป็นผู้ถือหุ้น อาทิ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ BCP บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG และบริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ปัจจุบัน SHARGE ให้บริการใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
- การขายอุปกรณ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า
- การเป็นเจ้าของสถานีชาร์จในแหล่งไลฟ์สไตล์ที่สำคัญ เช่น ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ
- การให้บริการแอปพลิเคชัน SHARGE และการจัดการซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ EV Charging
คุณพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เปิดเผยว่า สถานการณ์การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมจำนวนรถ EV ทั่วโลกระหว่างปี 2010-2020 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 76% ต่อปี สู่จำนวน 10.2 ล้านคัน และยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากประเทศมหาอำนาจทั่วโลกต่างออกมาตรการสนับสนุนและนโยบายที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตรถ EV อย่างต่อเนื่อง เช่น จีนที่มีการใช้รถ EV มากกว่า 4.5 ล้านคัน จากการยกเว้นภาษีและสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ผลิต ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ EV อย่างสถานีชาร์จและจำนวนหัวชาร์จ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเยอรมนี คาดว่าจะมีสถานีชาร์จสาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 จุดในปี 2025 และทะลุ 700,000 จุดในปี 2030
ขณะที่ประเทศไทยเอง มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนให้เกิดการใช้งานรถ EV อย่างเป็นรูปธรรม โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ตั้งเป้าให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมกว่า 1.05 ล้านคันภายในปี 2025
ซึ่งจากเป้าหมายดังกล่าว บริษัทคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะมีความต้องการชาร์จพลังงาน EV ไม่น้อยกว่า 1 ล้านหน่วยต่อสัปดาห์ในปี 2025 และมีความจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน EV รวมถึงสถานีชาร์จ EV ที่เพียงพอ บริษัทจึงจะเดินหน้าแผน Scale Up EV Future พร้อม 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
- Stronger Ecosystem
- More Station
- New Solution
- More Innovation
เพื่อช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จ EV ให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศไทยในอนาคต และสอดคล้องกับเมกะเทรนด์การเติบโตของ EV ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
เริ่มจากด้าน Stronger Ecosystem
เดินหน้าจับมือพันธมิตรใหม่ ๆ ในระบบนิเวศการชาร์จ EV ทั้งกลุ่มผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย กลุ่มผู้พัฒนาศูนย์การค้า กลุ่มผู้พัฒนาอาคารสำนักงาน กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการนิติบุคคลโครงการ กลุ่มผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกพลังงาน กลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์ สถานศึกษา โรงพยาบาล ไปจนถึงกลุ่มผู้ประกอบการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อร่วมกันส่งเสริมให้มีสถานีชาร์จรถ EV รองรับความต้องการของผู้ใช้ในอนาคตอย่างครบวงจร คาดว่าจะมีจำนวนพันธมิตรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 27 รายภายในปี 2022 และเพิ่มเป็น 50 รายภายในปี 2025
การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในทุกเซ็กเตอร์ นับเป็นเรื่องจำเป็นและจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีจำนวนสถานีชาร์จและหัวชาร์จที่เพียงพอรองรับความต้องการมหาศาลในอนาคต SHARGE จึงเปิดกว้างที่จะเข้าไปพูดคุยกับผู้ประกอบการในหลากหลายเซ็กเตอร์ ตลอดจนผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการมี EV Charger อยู่ในที่พักอาศัยของตัวเอง เพื่อร่วม Scale Up EV Future ขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความพร้อมด้าน EV ทัดเทียมระดับโลก ร่วมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีมลภาวะลดลงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
คุณพีระภัทร ริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE)ด้าน More Station
ทางบริษัทได้เพิ่มจำนวนสถานีชาร์จและหัวชาร์จทั้งแบบกระแสสลับ (AC) ตามที่อยู่อาศัย สู่การบริการครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ และจ่ายไฟแบบกระแสตรง (DC) ที่เป็น Super Fast Charge ตามจุดพักรถและสถานที่สำคัญต่าง ๆ กระจายไปตามจุดพักรถในทั้ง 4 ภูมิภาค นำร่องในปี 2022 ด้วยจำนวนสถานีชาร์จทุกประเภทสะสมไม่น้อยกว่า 600 สถานี และจำนวนหัวชาร์จ 2,000-2,400 หัวชาร์จ ตอกย้ำและยืนหยัดการเติบโตในฐานะผู้นำอันดับ 1 ของตลาด EV Charging Station ในที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกัน ในปีนี้จะมีการสร้างสถานีชาร์จแลนด์มาร์คที่ใหญ่ที่สุดในรัศมี 200 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ มีจุดเด่นสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
- มีจำนวนหัวชาร์จมากกว่าสถานีปกติ
- เป็นสถานีที่มีหัวชาร์จ DC แบบ Super Fast Charge ที่จ่ายไฟได้เร็วที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้ไลฟ์สไตล์การชาร์จไฟฟ้าใช้เวลาใกล้เคียงกับการเติมพลังงานแบบดั้งเดิม โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค
- มีอาหารและบริการที่ตอบโจทย์ทั้งคนและรถยนต์
ด้าน New Solution
จากเดิมบริษัทมุ่งเน้นเจาะตลาด 3 กลุ่ม โดยแบ่งตามไลฟ์สไตล์การชาร์จของผู้ใช้งานทั่วไป (Lifestyle Charging Ecosystem) อันประกอบด้วย
- NIGHT กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้านในช่วงกลางคืน
- DAY กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จระหว่างวัน เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น ศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ อาคารสำนักงาน
- ON-THE-GO กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างเดินทางระหว่างจังหวัด หรือสถานที่อื่น ๆ
แต่หลังจากนี้ บริษัทจะขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมรถยนต์และยานยนต์ทุกประเภท เพิ่มอีก 1 กลุ่ม คือ
- Fleet Operator กลุ่มผู้มียานพาหนะให้บริการจำนวนมาก เช่น บริษัทโลจิสติกส์ บริษัทที่ให้บริการด้านการขนส่งคนและสิ่งของ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการลดต้นทุนด้านพลังงานเชื้อเพลิงจากการใช้พลังงานเดินทางมหาศาลทุกวัน หลายบริษัทเริ่มมีวิสัยทัศน์ชัดเจนที่ต้องการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด บริษัทจะเดินหน้าเจรจากับกลุ่ม Fleet Operator อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 5 รายในปีนี้ เพื่อร่วมเปลี่ยนผ่านเครื่องยนต์สันดาปสู่เครื่องยนต์ไฟฟ้า และเป็นรากฐานสร้างรายได้ประจำระยะยาว (Recurring Income) คาดว่าจะเปิดเผยความร่วมมือได้อย่างน้อย 1 ราย ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมวงการ EV เร็ว ๆ นี้
ส่วนในด้าน More Innovation
บริษัทได้พัฒนาแอปพลิเคชัน SHARGE โดยมีหลากหลายฟีเจอร์ใหม่ที่พร้อมตอบโจทย์ผู้ใช้บริการรถ EV ที่ต้องการเข้ามาใช้บริการสถานีชาร์จ EV เช่น Queuing System ระบบที่รองรับความต้องการการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น ทำให้สามารถจองการใช้งานล่วงหน้าได้ Admin Dashboard อำนวยความสะดวกให้เจ้าของสถานีสามารถดูสถานการณ์ดำเนินงานของสถานีนั้น ๆ ได้แบบ Realtime และ Privilege ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการโซลูชั่นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบฟลีท มีให้พร้อมดาวน์โหลดทั้งใน App Store และ Play Store
คุณพีระภัทรกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ในการให้บริการ EV Charger ในโครงการที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว เมื่อเดินหน้าแผน Scale Up EV Ecosystem บริษัทจึงตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำการให้บริการ EV Charging Solution ครบวงจร มียอดขายสะสม 5 ปีนับจากนี้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท
ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อน EV Charging Ecosystem ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงพลังงานในราคาที่ถูกลง ลดมลภาวะทางอากาศ ร่วมสร้างอนาคตที่สะอาดขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นให้แก่คนไทย
The post SHARGE เผยโรดแมป Scale Up EV Future จับมือ 50 พันธมิตรขยาย EV Ecosystem เพิ่มสถานีชาร์จขั้นต่ำ 600 สถานี appeared first on #beartai.