ภาพจาก fitterminal.co
สุขภาพดีได้แค่ลดน้ำตาล แต่ไม่ลดความหวาน
ความหวานเป็นอีกรสชาติหนึ่งที่ใครๆ หลายคนหลงใหลและติดอกติดใจไม่น้อย แต่คุณๆ รู้ไหมคะว่ารสชาติความหวานที่เกิดจากน้ำตาลหรือการบริโภคน้ำตาลเกินความจำเป็นของร่างกายนั้น สามารถเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้ วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กันค่ะ
ปริมาณที่ควรกิน
สำหรับปริมาณน้ำตาลที่คนเราควรได้รับต่อวันนั้น ทางองค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่ได้รับใน 1 วัน หรือไม่ควรเกินวันละ 6 ช้อนชา (24 กรัม) ซึ่งเป็นปริมาณสำหรับคนปกติทั่วไปที่ใช้พลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี (ร่างกายของคนเรามีความต้องการพลังงานวันละ 25 กิโลแคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมสำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ย 50 กิโลกรัม จะต้องการปริมาณแคลอรีประมาณ 1,250 ต่อ 1 วัน
แต่ในระหว่างวันเรามักมีกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงาน เช่น การเดิน การนั่ง หรือการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายจึงมีความต้องการพลังงาน ประมาณ 2,000 กิโลแคลอรีต่อ 1 วัน)
ภาพจาก burinonline.net
ลดน้ำตาลอย่างไรดี
หากวันนี้คุณยังติดใจในความอร่อยของรสหวานที่คุ้นเคย อาจลองเริ่มต้นจากการลดปริมาณความหวานให้น้อยลง โดยไม่จำเป็นต้องงดแบบหักดิบ เพราะอาจทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดและเครียดได้ นอกจากนี้ ควรใส่ใจการกินเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น โดยเลือกบริโภคกลูโคสที่ให้ผลดีต่อร่างกาย หรือกลูโคสที่เกิดจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งพบได้ใน ข้าว ข้าวกล้อง ข้าวโพด ขนมปัง ธัญพืช และถั่วต่าง ๆ ซึ่งร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมไปใช้ ต่างจากกลูโคสที่ได้จากน้ำตาลที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกดูดซึมไปใช้ในทันที ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนัก และก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว
ตัวทดแทนรสหวาน
ในปัจจุบัน ยังมีทางเลือกอื่นๆ สำหรับคนชอบรสหวาน เช่น มีการผลิตสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลออกมามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักมีคุณสมบัติที่ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย หรืออาจให้น้อยมาก รสชาติจะหวานคล้ายน้ำตาล และไม่ก่อให้เกิดโรคฟันผุ หรือกระตุ้นน้ำตาลในเลือดสูง อาทิ ซูคราโลส (sucralose), แอสปาแตม(Aspartame ), สตีเวีย (Stevia) หรือหญ้าหวาน ซึ่งเป็นสารสกัดจากหญ้าหวาน และทดแทนความหวานได้ดีที่สุด เพราะเป็นธรรมชาติ และไม่พบรายงานผลแทรกซ้อนของกลุ่มสารให้ความหวานเหล่านี้ ทั้งยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่อย่างไรก็ตาม ควรอยู่ในปริมาณที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำเท่านั้น
ขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Lisa